7 จุดที่ต้องสังเกต ระหว่างสิวอักเสบกับสิวซีสต์
แม้ว่าสิวอักเสบและสิวซีสต์จะดูคล้ายกัน แต่ในความเป็นจริงแล้วสิวทั้งสองชนิดนี้มีลักษณะ และระดับความรุนแรงที่แตกต่างกัน หากปล่อยไว้โดยไม่รักษาให้ถูกวิธี ก็อาจทิ้งรอยดำ รอยแดง หรือรอยแผลเป็นได้ ดังนั้นควรสังเกตความแตกต่าง และเลือกวิธีรักษาให้เหมาะสม
สาเหตุที่ทำให้เกิดสิวอักเสบและสิวซีสต์
1. ฮอร์โมนแปรปรวน
มักพบได้ในช่วงวัยรุ่น ผู้หญิงช่วงก่อนมีประจำเดือน หรือผู้ที่มีภาวะ PCOS จะมีสิวอักเสบและสิวซีสต์มากกว่าปกติ เพราะต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากเกินไปทำให้รูขุมขนอุดตันง่าย
2. กินอาหารที่ทำให้เกิดสิว
อาหารที่มีน้ำตาลสูง ของมัน ของทอด นมวัว หรือผลิตภัณฑ์จากนม อาจไปทำให้อินซูลินหรือ IGF-1 ผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิวอักเสบและสิวซีสต์
3. การสะสมของแบคทีเรีย
หากรักษาความสะอาดไม่ดีพอ อาจมีแบคทีเรียเจริญเติบโตในรูขุมขนที่อุดตัน และก่อให้เกิดการอักเสบลุกลามจนกลายเป็นสิวหนองหรือสิวซีสต์ได้
4. มีพฤติกรรมเสี่ยงเกิดสิว
ล้างหน้าไม่สะอาด ใช้ปลอกหมอนหรือผ้าเช็ดตัวซ้ำ ๆ โดยไม่ทำความสะอาด หรือสัมผัสใบหน้าบ่อย ทำให้เชื้อโรคและสิ่งสกปรกสะสมจนเกิดเป็นสิวอักเสบและสิวซีสต์ได้
5. พันธุกรรมและยาบางชนิด
หากพ่อแม่เคยเป็นสิวอักเสบหรือสิวซีสต์รุนแรง ก็มีโอกาสที่ลูกจะเป็นสิวแบบเดียวกันได้ง่าย นอกจากนี้การใช้ยาบางชนิด เช่น สเตียรอยด์ ยาคุมบางชนิด ยากันชัก ก็ส่งผลต่อฮอร์โมนหรือการอักเสบได้เช่นกัน
เปรียบเทียบ 7 จุดแตกต่าง ระหว่างสิวอักเสบกับสิวซีสต์
-
สิวอักเสบ อาการไม่รุนแรงเท่าสิวซีสต์ อยู่ตื้น เจ็บน้อยกว่า และรักษาให้หายได้
-
สิวซีสต์ รุนแรงกว่าสิวอักเสบ บวมใหญ่ เจ็บลึก เสี่ยงทิ้งรอยหลุมสิว และควรพบแพทย์
หากคุณไม่แน่ใจว่าสิวที่เป็นอยู่คือสิวอักเสบ สิวซีสต์ หรือสิวอื่น ๆ และรักษามานานแล้วแต่ไม่หาย แนะนำให้พบแพทย์เพื่อประเมินผิวหนังและรักษาอย่างถูกวิธี
วิธีดูแล และการป้องกันสิวอักเสบเบื้องต้น
1. ล้างหน้าให้ถูกวิธี 2 ครั้ง เช้า-เย็น หรือหลังออกกำลังกาย โดยใช้โฟมล้างหน้าที่อ่อนโยนปราศจากน้ำหอมและแอลกอฮอล์ หลีกเลี่ยงการถูหน้าแรงเกินไป เพราะจะทำให้เกิดการระคายเคือง
2. เลือกผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เหมาะกับคนเป็นสิว ใช้ครีมบำรุง ครีมกันแดด และเครื่องสำอางที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตันและหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำมันมากเกินไป
3. งดหารบีบ แกะ หรือเกาสิว เพราะจะทำให้เกิดการอักเสบมากขึ้น และเสี่ยงทิ้งรอยแผลเป็นหรือหลุมสิวได้ นอกจากนี้ควรรักษาความสะอาดของของใช้ส่วนตัว เช่น ปลอกหมอน ผ้าเช็ดหน้า แว่นตา และล้างมือก่อนจับหน้าทุกครั้ง
4. พักผ่อนวันละ 7-8 ชั่วโมงต่อวัน และลดความเครียดให้ได้ เพราะหากมีความเครียดสูงอาจทำให้ฮอร์โมนแปรปรวนและเป็นสิวเพิ่มขึ้น
5. หากมีแนวโน้มเป็นสิวอักเสบบ่อย ควรใช้ยาทาสิวที่มีส่วนผสมของ Benzoyl Peroxide, Salicylic Acid, หรือ Retinoid ภายใต้คำแนะนำของเภสัชกรหรือแพทย์ด้านผิวหนัง
รักษาสิวอักเสบด้วยโปรแกรม Acne Away
1 ตรวจประเมินผิวโดยแพทย์
2 ฉีดสิวอักเสบโดยแพทย์
3 กดสิวโดยแพทย์
4 ฉายแสง Acne clear light
5 AHA peeling ผลัดเซลล์ผิว ลดรอยสิว
6 Moisture mask เพิ่มความชุ่มชื้น
7 Cryotheraphy บำบัดเย็นด้วยอุณหภูมิ -15 องศาเซลเซียส ลดการอักเสบผิว
8 รับยาทา หรือยาทาน จากแพทย์
การรักษาสิวด้วยโปรแกรม Acne Away จะได้รับการตรวจผิว และติดตามการรักษาจากแพทย์ทุกครั้ง ทั้งนี้ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับปัญหาของเเต่ละบุคคล
โปรโมชันรักษาสิวราคาเท่าไหร่
เป็นสิวอักเสบ สิวซีสต์ สิวอุดตัน สิวหัวดำ หรือแม้แต่สิวผดเล็ก ๆ ที่ดูเหมือนจะไม่ร้ายแรง แต่เมื่อเวลาผ่านไปอาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ และยากที่จะรักษาได้ ดังนั้นควรรีบรักษาสิวตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อไม่ให้สิวลุกลาม
ให้เราช่วยดูแลผิวของคุณด้วยโปรแกรม Acne Away ที่ Aeswell Clinic ติดต่อเราได้เลย!
ช่องทางการติดต่อ:
- โทร: 098-467-6878
- LINE: aeswellclinic
- Facebook: Aeswell Clinic
- Instagram: aeswellclinic_official